
สงครามภาษีไม่จบง่ายๆ เหมือนสงครามการค้าปรับขึ้นภาษีจะยังไม่จบ
สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนคริปโทฯ ต่างประสบกับความปั่นป่วนจากราคาบิทคอยน์ที่ร่วงลงอย่างหนัก โดยบางครั้งต่ำถึง 74,000 ดอลลาร์ สาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากสงครามการค้าที่ตึงเครียด ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีกระแสข่าวเกี่ยวกับ Michael Saylor จาก Strategy ผู้ถือบิทคอยน์จำนวนมาก กำลังเตรียมพร้อมขายหากราคายังลดลงต่อไป
ข่าวนี้เกิดจากการที่ Strategy ได้ยื่นเอกสาร 8-K ต่อ ก.ล.ต. สหรัฐ ซึ่งระบุถึงแผนรับมือความเสี่ยง โดยกล่าวว่าอาจพิจารณาขายบิทคอยน์เมื่อเกิดความผันผวน แต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัทมีแผนจะขายในเร็ว ๆ นี้ เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมเนื่องจากบริษัทถือครองคริปโทฯ จำนวนมาก

ปัจจุบัน Strategy มีบิทคอยน์อยู่ประมาณ 528,185 BTC ด้วยต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 67,458 ดอลลาร์ต่อเหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทยังซื้อตุนเพิ่มอีก 275,965 BTC หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งในปี 2024 ด้วยต้นทุนเฉลี่ยสูงถึง 93,228 ดอลลาร์ต่อเหรียญ
ในขณะที่หนี้สินของ Strategy อยู่ที่กว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 35 ล้านดอลลาร์ และเงินปันผลอีก 150 ล้านดอลลาร์ต่อปี ทำให้มูลค่าหุ้นร่วงลงเกือบครึ่งจากจุดสูงสุดเมื่อพฤศจิกายน ซึ่งบริษัทได้เข้าร่วม Nasdaq 100 แต่วันนี้ราคาบิทคอยน์ดีดกลับขึ้นมาอยู่ที่ 82,000 ดอลลาร์ แต่ก็ยังอาจร่วงลงอีกได้
ก.ล.ต. สหรัฐได้ประกาศว่า USDT และ USDC ไม่ถือเป็นหลักทรัพย์ ตามกฎหมายสหรัฐฯ พิจารณาว่าเป็น Stablecoin ได้รับการคุ้มครอง จัดเพื่อใช้ในการชำระเงิน ไม่ใช่การลงทุน
นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้ยุบหน่วยปราบปรามคริปโทแห่งชาติ โดยจะมุ่งสู่การจัดการกับกลุ่ม scammer สอดคล้องกับนโยบายของทรัมป์ที่ต้องการกำกับดูแลอุตสาหกรรมคริปโตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่บางคนกังวลว่าการลดความเข้มงวดอาจทำให้เกิดการเก็งกำไรและอาชญากรรมในตลาดคริปโทฯ ผู้หวังทางออกคือรัฐจะพบวิธีรับมือและนำทางสู่อินเทอร์เน็ตยุคสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแท้จริง